บทความทั้งหมด

สุขภาพทางเพศ

HIV: เข้าใจให้ถูกต้อง ดูแลได้ ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป

HIV: เข้าใจให้ถูกต้อง ดูแลได้ ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป

หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HIV บางคนอาจคิดว่าเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาไม่ได้ หรือผู้ติดเชื้อจะต้องป่วยตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ทำให้ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอายุยืนยาวใกล้เคียงคนทั่วไป หากได้รับการตรวจและดูแลอย่างถูกวิธี


HIV คืออะไร?

HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือเชื้อไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค เมื่อเชื้อ HIV ทำลายเซลล์เหล่านี้ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอ ส่งผลให้ติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง HIV จะพัฒนาสู่ระยะสุดท้ายที่เรียกว่า เอดส์ (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง


วิธีการติดต่อของ HIV

เชื้อ HIV ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งบางชนิด ได้แก่

  • เลือด
  • น้ำอสุจิ
  • สารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ
  • น้ำนมแม่

ช่องทางหลักในการติดต่อ
  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน – ทั้งชายรักชาย ชายรักหญิง หรือเพศอื่น ๆ ก็มีความเสี่ยงเท่า ๆ กัน
  2. การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน – โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้สารเสพติด
  3. การถ่ายเลือดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะ – ปัจจุบันปลอดภัยขึ้นมาก เพราะมีการตรวจคัดกรองเชื้อ
  4. แม่ถ่ายทอดสู่ลูก – สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างการตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร

HIV ไม่ติดต่อ จากการกอด หอม จับมือ กินข้าวด้วยกัน ใช้ห้องน้ำร่วมกัน หรืออยู่ใกล้ชิดกันในชีวิตประจำวัน

อาการของ HIV

ผู้ติดเชื้อ HIV อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระยะหลัก ๆ
  1. ระยะเฉียบพลัน (Acute phase) – เกิดขึ้นภายใน 2–4 สัปดาห์หลังติดเชื้อ บางคนอาจมีไข้ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต คล้ายเป็นหวัด
  2. ระยะเรื้อรัง (Chronic phase) – เชื้อจะยังคงอยู่ในร่างกาย แต่ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ อาจนานหลายปี
  3. ระยะเอดส์ (AIDS) – ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออย่างมาก ทำให้ติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดบวม เชื้อรา หรือเกิดมะเร็งบางชนิด


การตรวจ HIV

การตรวจเลือด เป็นวิธีเดียวที่สามารถยืนยันการติดเชื้อได้ ปัจจุบันมีหลายวิธี เช่น

  • Rapid test ทราบผลภายใน 15–30 นาที
  • ELISA และ Western Blot ใช้ยืนยันผลที่แม่นยำ
  • PCR ตรวจหาเชื้อโดยตรง เหมาะกับระยะเริ่มต้นที่ร่างกายยังไม่สร้างภูมิคุ้มกัน

🕒 ควรตรวจ HIV หลังมีความเสี่ยงอย่างน้อย 3 สัปดาห์ – 3 เดือน เพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจน


การรักษา HIV

ปัจจุบันยังไม่มียาที่กำจัดเชื้อ HIV ออกจากร่างกายได้ทั้งหมด แต่ ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) ช่วยกดปริมาณไวรัสให้น้อยจนตรวจไม่พบ (Undetectable) ได้

  • หากกินยาอย่างสม่ำเสมอ ปริมาณไวรัสในเลือดจะลดลง
  • ภูมิคุ้มกันจะฟื้นตัว ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพใกล้เคียงคนทั่วไป
  • การแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์จะลดลงจนแทบเป็นศูนย์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)

การป้องกัน HIV

  • ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • พิจารณาใช้ ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คู่รักที่ฝ่ายหนึ่งติดเชื้อ
  • หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV ควรได้รับยาต้านไวรัสต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังลูก


คุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV

ด้วยการรักษาที่ทันสมัย ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถ

  • มีอายุยืนยาวใกล้เคียงคนทั่วไป
  • มีครอบครัวและมีลูกได้ (หากได้รับการดูแลที่ถูกต้อง)
  • ทำงาน เรียน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เมื่อได้รับความเข้าใจจากครอบครัวและสังคม

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การลดการตีตรา (stigma) เพราะผู้ติดเชื้อไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกมองว่าแตกต่าง


บทสรุป

HIV ไม่ได้หมายถึงจุดจบของชีวิต หากตรวจพบเร็วและเริ่มยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพแข็งแรง มีความสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้เหมือนคนทั่วไป

Share

facebookline