บทความทั้งหมด

สุขภาพทั่วไป

รู้ยัง? “ริดสีดวง” ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วมีเลือด!

ริดสีดวงทวาร: เข้าใจลึกทุกมิติของโรคที่หลายคนเป็น แต่ไม่กล้าพูดถึง

"ริดสีดวงทวาร" เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในวัยทำงานและผู้สูงอายุ แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เช่น ปวด บวม คัน หรือมีเลือดออกขณะถ่ายอุจจาระ หลายคนรู้สึกอาย ไม่กล้าไปพบแพทย์ ปล่อยให้อาการลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโรคริดสีดวงอย่างลึกซึ้งที่สุด เข้าใจถึงสาเหตุ กลไก อาการ รูปแบบของโรค วิธีดูแลตนเอง การรักษา และการป้องกันอย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณจัดการกับโรคนี้ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ริดสีดวงทวารคืออะไร?


ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) คือ การที่หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักและลำไส้ตรงส่วนปลายเกิดการโป่งพอง บวม หรือขยายตัวมากกว่าปกติ คล้ายกับเส้นเลือดขอดที่ขา สาเหตุเกิดจากแรงดันในหลอดเลือดดำสูงกว่าปกติ ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น เกิดการโป่งพองและไหลเวียนเลือดติดขัด

ประเภทของริดสีดวงทวาร
  1. ริดสีดวงทวารภายใน (Internal Hemorrhoids)
  • เกิดบริเวณภายในช่องทวารหนัก ลึกเข้าไปจากขอบรูทวาร มักไม่เจ็บปวดในระยะแรก แต่มีเลือดออกขณะถ่าย
  • แบ่งเป็น 4 ระยะ ตั้งแต่ก้อนเล็กจนถึงหลุดออกมานอกทวาร
  1. ริดสีดวงทวารภายนอก (External Hemorrhoids)
  • เกิดบริเวณปากรูทวารหรือผิวหนังรอบ ๆ เห็นหรือคลำได้เป็นก้อนชัดเจน
  • อาจเกิดลิ่มเลือดทำให้ปวดบวมมาก


สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
  • ท้องผูกเรื้อรัง เบ่งถ่ายบ่อย
  • ขาดไฟเบอร์ในอาหาร ดื่มน้ำน้อย
  • พฤติกรรมการนั่งถ่ายนาน เช่น เล่นโทรศัพท์
  • การตั้งครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้าย
  • ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
  • ยกของหนักซ้ำซาก
  • พฤติกรรมเนือยนิ่ง นั่งนานไม่ขยับ
  • ผู้สูงอายุ ที่กล้ามเนื้อและหลอดเลือดเสื่อมตามอายุ

อาการของริดสีดวงทวาร
  • เลือดสดออกทางทวารเวลาถ่ายอุจจาระ
  • มีตุ่มหรือก้อนยื่นจากทวาร
  • ปวด แสบ หรือคันบริเวณรูทวาร
  • ถ่ายไม่สุด หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรขวางในทวาร
  • อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ

ภาวะแทรกซ้อน
  • ลิ่มเลือดอุดตันในก้อนริดสีดวง (Thrombosis)
  • ก้อนริดสีดวงหลุดออกมาและติดค้าง
  • ติดเชื้อบริเวณก้อนริดสีดวง
  • โลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง


การวินิจฉัย
  • ซักประวัติ และตรวจทางทวารด้วยนิ้ว (Digital rectal exam)
  • ใช้เครื่องมือส่องตรวจ (Anoscope, Proctoscope)
  • ตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ หากสงสัยโรคอื่น

การดูแลตนเองเบื้องต้น
  • ปรับพฤติกรรมการถ่าย อย่านั่งถ่ายนาน อย่าเบ่ง
  • ดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5-2 ลิตร/วัน
  • เพิ่มไฟเบอร์ในอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นลำไส้
  • แช่น้ำอุ่นบริเวณก้น 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและแอลกอฮอล์
  • ใช้ยาเหน็บหรือครีมลดอาการตามคำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์


การรักษาทางการแพทย์
  • ยารับประทานหรือยาทาเพื่อบรรเทาอาการ
  • การฉีดยาให้เส้นเลือดฝ่อ (Sclerotherapy)
  • การรัดยาง (Rubber Band Ligation)
  • การใช้เลเซอร์หรือความร้อน (Infrared Coagulation)
  • การผ่าตัด Hemorrhoidectomy ในกรณีรุนแรงหรือซ้ำซาก


การป้องกันริดสีดวงทวาร
  • ถ่ายอุจจาระเป็นเวลา หลีกเลี่ยงการกลั้นถ่าย
  • เคลื่อนไหวร่างกาย อย่านั่งนาน
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
  • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และอาหารเผ็ดจัด


เมื่อใดควรพบแพทย์
  • ถ่ายมีเลือดซ้ำ ๆ แม้ไม่ปวด
  • ปวด บวม หรือมีตุ่มที่เจ็บมากผิดปกติ
  • มีไข้ หรือสงสัยว่าติดเชื้อบริเวณทวาร
  • ถ่ายไม่สุด หรือรู้สึกแน่นตลอดเวลา


สรุป


ริดสีดวงทวารไม่ใช่โรคอันตรายหากได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก การปรับพฤติกรรมง่าย ๆ เช่น การถ่ายให้ถูกวิธี ดื่มน้ำมากขึ้น และกินอาหารที่มีกากใยสูงสามารถช่วยป้องกันและลดอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม

สุขภาพลำไส้ดี ชีวิตก็สบายขึ้น อย่าปล่อยให้ริดสีดวงบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคุณ

Share

facebookline