บทความทั้งหมด

สุขภาพทั่วไป

ไข้เลือดออก: โรคหน้าฝนที่ไม่ควรมองข้าม

ไข้เลือดออก (Dengue Fever): เข้าใจให้ลึก รู้ทันเพื่อป้องกัน

ทุกปีโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ประเทศไทยจะเผชิญกับการระบาดของโรคหนึ่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้ไข้หวัดใหญ่ นั่นคือ ไข้เลือดออก โรคนี้อาจเริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้ธรรมดา แต่สามารถพัฒนาอย่างรวดเร็วไปสู่อาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่รับการดูแลอย่างเหมาะสม

การรู้จักโรคไข้เลือดออกอย่างละเอียดจึงเป็นเรื่องจำเป็น ไม่ใช่แค่สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ แต่สำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อจะสามารถดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกต้อง


สาเหตุของโรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งอยู่ในตระกูล Flaviviridae โดยไวรัสชนิดนี้มีอยู่ 4 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ DEN-1, DEN-2, DEN-3 และ DEN-4

เมื่อคนเราติดเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้น แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นได้ และหากมีการติดเชื้อซ้ำจากสายพันธุ์ที่ต่างออกไป มีโอกาสที่อาการจะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากภาวะที่เรียกว่า Antibody-Dependent Enhancement (ADE)

การแพร่กระจายของโรค

พาหะของโรค: ยุงลาย

ยุงลายเป็นพาหะนำโรคหลัก โดยเฉพาะ ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และ ยุงลายสวน (Aedes albopictus)

ลักษณะเด่นของยุงลาย:
  • มีลายขาวดำที่ขา
  • ชอบกัดในเวลากลางวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็น
  • วางไข่ในน้ำสะอาดที่นิ่ง เช่น แจกัน ถังน้ำ ถ้วยรองกระถางต้นไม้
  • ระยะการฟักตัวในยุง: ประมาณ 8–12 วัน หลังจากกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส

ยุงที่มีเชื้อเมื่อกัดคน จะถ่ายทอดเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายทันทีผ่านน้ำลาย


อาการของโรคไข้เลือดออก

โดยทั่วไปอาการของไข้เลือดออกสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ:

1. ระยะไข้ (Febrile Phase) – 2 ถึง 7 วันแรก
  • ไข้สูงเฉียบพลัน 39–41 องศาเซลเซียส
  • ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา
  • ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • หน้าแดง บางรายมีผื่นแดง
  • ไม่มีน้ำมูกหรืออาการไอเหมือนไข้หวัด

🔍 ในระยะนี้เกล็ดเลือดจะเริ่มลดลง ผู้ป่วยต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด

2. ระยะวิกฤต (Critical Phase) – วันที่ 3 ถึง 7
  • ไข้เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว (อาจเข้าใจผิดว่าดีขึ้น)
  • ความดันโลหิตเริ่มต่ำลง
  • เกิดภาวะพลาสมาไหลออกจากหลอดเลือด ทำให้เลือดข้น
  • อาจมีเลือดออกตามผิวหนัง จุดจ้ำเลือด เลือดกำเดา อาเจียนหรือถ่ายดำ
  • หากรุนแรงอาจเกิด ภาวะช็อก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

📌 ช่วงนี้อันตรายที่สุด จำเป็นต้องเฝ้าระวังในโรงพยาบาล

3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase) – วันที่ 7 เป็นต้นไป
  • สัญญาณชีพกลับมาเป็นปกติ
  • เกล็ดเลือดและปริมาณน้ำในเลือดกลับมา
  • ผื่นอาจลอกเป็นขุย
  • ผู้ป่วยเริ่มมีความอยากอาหารและมีพลังงานมากขึ้น


กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง
  • เด็กเล็กและผู้สูงอายุ
  • ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อเดงกีมาก่อน (เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อซ้ำ)


การวินิจฉัยโรค
  • ตรวจอาการและประวัติสัมผัสโรค
  • ตรวจเลือดเพื่อวัดระดับเกล็ดเลือด ฮีมาโตคริต และความเข้มข้นของเลือด
  • การทดสอบเฉพาะทาง:
  • Dengue NS1 Antigen Test (ตรวจหาโปรตีนไวรัส)
  • Dengue IgM/IgG Antibody Test
  • PCR (ใช้ในห้องปฏิบัติการเฉพาะ)


การรักษาไข้เลือดออก

เนื่องจากยังไม่มียารักษาไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ การรักษาจึงเน้นที่การ ประคับประคองอาการ ได้แก่:

ยาที่ใช้:

  • ยาลดไข้: พาราเซตามอล เท่านั้น (ห้ามใช้แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน)
  • น้ำเกลือ ORS เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
การดูแล:
  • นอนพักให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำมาก ๆ
  • เฝ้าระวังอาการเลือดออก
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรือของแข็งในผู้ป่วยอาเจียนบ่อย
ในรายที่รุนแรง:
  • อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด
  • เฝ้าดูอาการช็อกอย่างใกล้ชิด
  • ตรวจเลือดซ้ำทุกวัน


การป้องกันไข้เลือดออก

แนวทาง 3 เก็บ 3 โรค

  1. เก็บบ้าน ให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับหรือยุงเกาะพัก
  2. เก็บขยะ ไม่ให้เป็นแหล่งน้ำขัง
  3. เก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะ หรือใส่ทรายอะเบท
วิธีอื่น ๆ ที่ควรทำร่วมด้วย
  • ใช้ยากันยุง ทายากันยุง
  • สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
  • นอนในมุ้งหรือห้องมีมุ้งลวด
  • พ่นหมอกควันกำจัดยุงในพื้นที่ระบาด

วัคซีนไข้เลือดออก: ใช้ได้จริงหรือไม่?

ปัจจุบันมีวัคซีนชื่อ Dengvaxia (CYD-TDV) ซึ่งใช้ในบางประเทศ และในประเทศไทยเฉพาะกลุ่มที่อายุ 9–45 ปี ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อมาก่อนเท่านั้น เพราะหากฉีดวัคซีนในคนที่ไม่เคยติดเชื้อ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อครั้งแรก

วัคซีนยัง ไม่ใช่วิธีหลักในการป้องกันในประเทศไทย


ข้อควรระวังและความเข้าใจผิด

❌ ไข้เลือดออกไม่แพร่จากคนสู่คนโดยตรง
✅ ต้องมี "ยุงลาย" เป็นตัวกลาง

❌ ไข้ลดลงแล้วแปลว่าหาย
✅ ในไข้เลือดออก "ไข้ลด" อาจเป็นสัญญาณเข้าระยะอันตราย

❌ ยาลดไข้ทั่วไปใช้ได้หมด
✅ ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟนเด็ดขาด เพราะเสี่ยงเลือดออกมากขึ้น


สรุป

ไข้เลือดออก เป็นโรคที่แม้จะพบได้บ่อยในประเทศไทย แต่ยังคร่าชีวิตผู้คนได้ทุกปีโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ การรู้จักโรคนี้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การรักษา ไปจนถึงวิธีการป้องกันอย่างถูกต้อง จะช่วยลดการระบาดของโรคและรักษาชีวิตของคนที่คุณรักได้

“อย่าปล่อยให้ยุงลายมีที่อยู่ เพราะแค่ยุงตัวเดียว...อาจหมายถึงชีวิต”

Share

facebookline