บทความทั้งหมด

สุขภาพทางเพศ

ตกขาวผิดปกติใช่ไหม? อาจไม่ใช่แค่เรื่องธรรมดา!

การติดเชื้อในช่องคลอด (Vaginal Infections)
ปัญหาสุขภาพใกล้ตัวของผู้หญิงที่ไม่ควรมองข้าม

ช่องคลอดของผู้หญิงเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อน มีระบบการควบคุมความสมดุลของจุลชีพ (Microbiota) ภายในตัวเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก โดยภาวะปกติจะมีแบคทีเรียชนิดดี เช่น Lactobacillus คอยสร้างกรดแลคติกและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ทำให้ค่า pH ภายในช่องคลอดอยู่ในระดับกรดอ่อน (pH ประมาณ 3.8–4.5) ซึ่งช่วยยับยั้งเชื้อก่อโรคต่าง ๆ ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อสมดุลภายในช่องคลอดถูกรบกวน เช่น จากการใช้ยาปฏิชีวนะ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง ก็อาจทำให้เชื้อก่อโรคเจริญเติบโตจนก่อให้เกิดการติดเชื้อได้


ประเภทของการติดเชื้อในช่องคลอด

1. เชื้อราที่ช่องคลอด (Vaginal Candidiasis)

  • เกิดจากเชื้อรา Candida albicans ซึ่งมีอยู่ในช่องคลอดตามธรรมชาติในปริมาณเล็กน้อย
  • เมื่อสมดุลเสียไป เช่น ภูมิคุ้มกันลดลง หรือใช้ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด หรือยาสเตียรอยด์ เชื้อราจะเจริญเติบโตเกินควบคุม
  • อาการ:
  • คันและแสบบริเวณช่องคลอดหรือปากช่องคลอด
  • ตกขาวลักษณะข้นเป็นก้อนคล้ายแป้งเปียก สีขาว
  • รู้สึกแสบหรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์หรือขณะปัสสาวะ
  • ไม่มีกลิ่นหรือกลิ่นอ่อน ๆ

2. การติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis หรือ BV)

  • เกิดจากการเสียสมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอด โดยเชื้อแบคทีเรียชนิดก่อโรค เช่น Gardnerella vaginalis เพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ
  • ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่พฤติกรรมทางเพศ เช่น การมีคู่นอนหลายคน อาจเป็นปัจจัยเสี่ยง
  • อาการ:
  • ตกขาวปริมาณมาก สีขาวขุ่นหรือเทา มักเป็นน้ำ ๆ
  • มีกลิ่นเหม็นคล้ายคาวปลา โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์
  • คันหรือระคายเคืองในบางราย
  • อาจไม่มีอาการชัดเจนในบางคน

3. การติดเชื้อปรสิต (Trichomoniasis)

  • เกิดจากเชื้อ Trichomonas vaginalis ซึ่งเป็นปรสิตขนาดเล็ก ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
  • อาจติดเชื้อซ้ำได้หากคู่นอนไม่ได้รับการรักษาพร้อมกัน
  • อาการ:
  • ตกขาวเป็นฟอง สีเขียวหรือเหลือง มีกลิ่นแรง
  • คัน แสบ และระคายเคืองช่องคลอด
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • อาจมีเลือดปนหรือเจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์


ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อในช่องคลอด
  • การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยหรือเป็นเวลานาน ซึ่งฆ่าแบคทีเรียดีในช่องคลอด
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างจุดซ่อนเร้นที่มีฤทธิ์เป็นด่าง หรือกลิ่นแรง
  • การสวนล้างช่องคลอด (douching)
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ช่วงก่อนประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน
  • การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือไม่ระบายอากาศ
  • ความเครียดและภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เบาหวาน HIV
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน



อาการที่ควรระวัง

แม้ว่าการติดเชื้อบางชนิดอาจไม่มีอาการที่เด่นชัด แต่โดยทั่วไปอาการที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในช่องคลอด ได้แก่:

  • คัน แสบ หรือระคายเคืองภายในหรือรอบ ๆ ช่องคลอด
  • ตกขาวมีสี กลิ่น หรือปริมาณผิดปกติ
  • กลิ่นเหม็นจากช่องคลอด โดยเฉพาะกลิ่นคาวปลา
  • ปัสสาวะขัด หรือรู้สึกแสบขณะปัสสาวะ
  • รู้สึกไม่สบายหรือเจ็บในขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน

หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยผ่าน:

  1. การซักประวัติและอาการ
  2. ตรวจสอบความถี่และลักษณะของอาการ
  3. ประวัติการใช้ยา การมีเพศสัมพันธ์ และสุขอนามัย
  4. การตรวจร่างกายภายใน
  5. ตรวจดูลักษณะของตกขาวและความผิดปกติที่เห็นได้
  6. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  7. ตรวจตกขาวภายใต้กล้องจุลทรรศน์
  8. ทดสอบค่า pH ในช่องคลอด
  9. การตรวจเชื้อด้วยแผ่นเพาะเลี้ยงหรือ PCR
  10. ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หากมีความเสี่ยง


การรักษา

การติดเชื้อแต่ละประเภทจะใช้วิธีรักษาแตกต่างกัน:

  • เชื้อรา: ยาต้านเชื้อรา เช่น clotrimazole, miconazole แบบครีมหรือเหน็บช่องคลอด หรือ fluconazole แบบรับประทาน
  • เชื้อแบคทีเรีย (BV): ยาปฏิชีวนะ เช่น metronidazole หรือ clindamycin ทั้งในรูปแบบกินและทา
  • ปรสิต (Trichomoniasis): ยาฆ่าปรสิต เช่น metronidazole หรือ tinidazole ควรรักษาคู่นอนไปพร้อมกัน

ข้อควรระวัง: ห้ามหยุดยาเองแม้อาการดีขึ้น และไม่ควรซื้อยามาใช้เองโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

  • การติดเชื้อซ้ำบ่อย ๆ
  • การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease - PID)
  • ภาวะมีบุตรยาก
  • การคลอดก่อนกำหนดหากติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์
  • ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น


แนวทางการป้องกัน
  • หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง
  • สวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่รัดแน่น และเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน
  • ทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำเปล่าหรือสบู่อ่อน ๆ โดยไม่ถูแรง
  • หลังขับถ่าย ควรเช็ดจากหน้าไปหลังเพื่อป้องกันการนำเชื้อจากทวารหนักเข้าช่องคลอด
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับคู่นอนใหม่
  • ตรวจสุขภาพสตรีเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะหากมีอาการผิดปกติ



ผลกระทบในระยะยาวของการติดเชื้อในช่องคลอด

แม้ว่าอาการของการติดเชื้อในช่องคลอดมักไม่รุนแรงและสามารถรักษาให้หายได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องหรือปล่อยไว้นานเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น:

1. ภาวะการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (PID)

  • เกิดจากเชื้อโรคแพร่กระจายจากช่องคลอดเข้าสู่มดลูก รังไข่ หรือท่อนำไข่
  • ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง มีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีบุตรยาก

2. ภาวะมีบุตรยาก

  • การติดเชื้อเรื้อรัง เช่น จาก Chlamydia หรือ Trichomonas อาจทำลายท่อนำไข่ ทำให้ไข่ไม่สามารถปฏิสนธิได้

3. ภาวะคลอดก่อนกำหนด

  • ในหญิงตั้งครรภ์ การติดเชื้อในช่องคลอดบางประเภท เช่น BV มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด น้ำเดินก่อนกำหนด หรือน้ำคร่ำอักเสบ

4. เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

  • การอักเสบเรื้อรังของช่องคลอดทำให้เยื่อบุผิวเปราะบาง เป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น


วิธีดูแลตนเองระหว่างที่กำลังรักษา

✅ คำแนะนำที่ควรปฏิบัติ:

  • รับประทานยาหรือใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างครบถ้วน แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีอาการ
  • สวมเสื้อผ้าที่โปร่ง ระบายอากาศได้ดี เช่น กางเกงในผ้าฝ้าย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • หากแพทย์แนะนำให้ตรวจหาคู่นอน ให้พาคู่นอนไปรับการตรวจและรักษาด้วย
  • รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศโดยไม่ถูแรง และไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม

❌ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:

  • หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นอนามัยตลอดวัน เพราะอาจทำให้เกิดความอับชื้น
  • หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำแร่ แช่น้ำในอ่างน้ำนาน ๆ หรือในสระที่อาจไม่สะอาด


สรุป

การติดเชื้อในช่องคลอดเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทุกวัย หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากขึ้นได้ สิ่งสำคัญคือการตระหนักรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนต่าง ๆ และการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ รวมถึงการพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีอาการผิดปกติ

การดูแลสุขภาพช่องคลอดไม่ใช่แค่เรื่องความสะอาดเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความเข้าใจในร่างกายของตนเอง เพื่อให้คุณสามารถมีสุขภาพที่ดีทั้งทางกายและใจได้ในระยะยาว

Share

facebookline